เสริมคาง
การเสริมคาง เป็นวิธีการผ่าตัดศัลยกรรมที่นิยมอย่างมากในตอนนี้ เพราะสามารถช่วยแก้ไขปรับปรุงสัดส่วนของใบหน้าให้ได้สมดุลมากยิ่งขึ้น ช่วยแก้ปัญหาให้แก่คนที่มีคางสั้น คางเหลี่ยม คางถอย ใบหน้าจะดูสั้น หน้าดูกว้างที่เรียกกันว่าหน้าบาน ซึ่งเป็นปัญหาที่พบมากในคนเอเชียโดยเฉพาะในคนไทย
การทำคางด้วยการเสริมซิลิโคนแท่งจะช่วยปรับรูปหน้าให้ได้สัดส่วน ดูเรียวยาว มีมิติที่สวยงามขึ้นกว่าเดิม แถมยังช่วยเพิ่มความมั่นใจให้แก่คนไข้เพราะใบหน้าที่ดูเด็กลงอีกด้วย
ตามทฤษฎีความงามในทางการแพทย์ ใบหน้าที่จะดูสวยงามได้นั้นจะต้องมีสัดส่วนที่ลงตัวและได้สมดุล กล่าวคือ ใบหน้าส่วนบน ส่วนกลาง และส่วนล่าง จะต้องได้ขนาด 1/3 เท่ากันทั้ง 3 ส่วน ดังนั้น ผู้ที่มีสัดส่วนใบหน้าส่วนบนและส่วนกลางเท่ากันดีแล้ว ขาดแต่ใบหน้าส่วนล่างที่ดูสั้นไป การเสริมคางจึงเป็นวิธีการที่สามารถเนรมิตให้ปัญหาหน้าสั้นไม่ได้สัดส่วนให้หายไปได้
- ใบหน้าส่วนบน คือ วัดจากบริเวณไรผมที่ด้านบนหน้าผาก ไปจนถึงส่วนที่อยู่ด้านบนสุดของสันจมูก (บริเวณหัวคิ้ว)
- ใบหน้าส่วนกลาง คือ วัดจากสันจมูก ไปจนถึงบริเวณฐานจมูก
- ใบหน้าส่วนล่าง คือ วัดจากฐานจมูก ไปจนถึงบริเวณปลายคาง
สาว ๆ ที่กำลังคิดอยากจะเสริมคาง เพื่อปรับสัดส่วนของใบหน้าให้ดูสวยงามในทุกองศา แต่ยังไม่รู้ว่าควรเริ่มศึกษาจากตรงไหน การศัลยกรรมคางมีกี่แบบ มีข้อดี – ข้อเสียอะไรบ้าง และราคาเสริมคางที่หลากหลาย แต่ละคลินิก/โรงพยาบาลตั้งราคาการทำคางที่แตกต่างกัน วันนี้เราได้รวบรวมข้อมูลทุกเรื่องที่ควรรู้มาให้ผู้ที่สนใจลองศึกษากัน ก่อนตัดสินใจทำศัลยกรรมเสริมคางค่ะ
เสริมคาง มีกี่แบบ ? เรามาหาคำตอบในเรื่องการทำศัลยกรรมเสริมคาง ว่ามีกี่วิธี ข้อดี ข้อเสีย ที่สาว ๆ ควรทราบก่อนตัดสินใจทำคาง
คำถามที่คนไข้มาขอคำปรึกษามากที่สุดคือ การเสริมคางมีกี่วิธี กี่แบบ ซึ่งในปัจจุบันนี้วิธีเสริมคาง ที่นิยมทำกันจะมีอยู่ 2 วิธีหลัก ๆ ด้วยกัน ได้แก่
1.) การฉีดเพื่อเสริมคาง
2.) การผ่าตัดเสริมคางด้วยซิลิโคน
- การฉีดเพื่อเสริมคาง แบ่งย่อยออกเป็น การฉีดเสริมคางด้วยไขมัน และการฉีดเสริมคางด้วยฟิลเลอร์ ซึ่งถือเป็นการทำคางที่ไม่อยู่ถาวร โดยทั้งไขมันและฟิลเลอร์ที่ถูกฉีดเข้าไปนั้นจะสามารถสลายตัวไปได้เองภายในระยะเวลา 2-3 ปี ทั้งนี้แล้วแต่บุคคล ซึ่งในคนไข้บางรายอาจจะต้องเข้ามารับการฉีดเพื่อเติมเต็มซ้ำในทุก ๆ ปี
- การผ่าตัดศัลยกรรม เป็นกรรมวิธีผ่าตัดเล็ก แผลเล็ก ที่จะใช้แท่งซิลิโคนที่เหลาเป็นรูปร่างที่เหมาะสมในการเสริมคาง ซึ่งคนไข้ผู้เข้ารับการศัลยกรรมสามารถร่วมปรึกษาและออกแบบกับทางคุณหมอ เพื่อปรับรูปทรงคางได้ตามความต้องการอย่างเหมาะสม ในปัจจุบันนี้การเสริมคางด้วยซิลิโคนมีความปลอดภัยและดูเป็นธรรมชาติ โดยแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ
1. การเสริมคางแบบแผลนอก
ผ่าตัดศัลยกรรมเสริมคางจากด้านนอกของช่องปาก โดยมีขั้นตอนการเสริมคางที่ไม่ซับซ้อนเลย และใช้เวลาไม่นานเพียงแค่ประมาณ 30 – 45 นาที ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความยากง่ายของแต่ละเคส โดยคุณหมอจะฉีดยาชา แล้วกรีดเพื่อเปิดแผลบริเวณใต้คาง ความยาวของแผลเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 1 เซนติเมตร ไปจนถึง 1.5 เซนติเมตร เพื่อทำการวางตำแหน่งของซิลิโคนให้ได้อย่างแม่นยำ ลดความเสี่ยงที่จะเกิดกรณีซิลิโคนบดเบี้ยวหรือเอียงได้ดีขึ้น โดยลักษณะการวางซิลิโคนจะอยู่ในทิศทางเฉียงลงด้านล่าง เพื่อปรับให้ใบหน้าดูเรียวขึ้น โดยปรับแต่งรูปคางให้เหมาะสมกับโครงหน้าของคนไข้แต่ละราย
ข้อดีของการเสริมคางแบบแผลนอก
- การเปิดแผลที่ภายนอกช่องปาก ช่วยเพิ่มความสะดวกในการวางตำแหน่งซิลิโคนให้ทำได้ง่ายและแม่นยำยิ่งขึ้น
- แผลที่กรีดอยู่ใต้คางมีขนาดเล็ก สามารถดูแลรักษาแผลได้ง่าย และแผลค่อนข้างหายเร็ว
- แผลอยู่ด้านนอก จึงช่วยลดความกังวล และลดความเสี่ยงในเรื่องการติดเชื้อจากน้ำลายและเศษอาหารที่อาจตกค้างอยู่ในช่องปาก
- ได้รูปคางที่สวยงามไม่บิดเบี้ยว เพราะคุณหมอจะมีการเย็บเพื่อล็อคซิลิโคนให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม เพื่อป้องกันการเบี้ยวเอี้ยงได้
- มีการใช้การยิงเลเซอร์ประกอบร่วมกับการผ่าตัดเสริมคางในคนไข้ทุกราย เพื่อประโยชน์ในการห้ามเลือด และช่วยลดอาการช้ำบวม
- กรรมวิธีแก้คางแบบแผลนอก เหมาะกับการแก้ไขคางที่ต้องมีการขูดฟิลเลอร์เก่าออก จะช่วยขูดสารเหลวออกได้เกลี้ยงมากกว่า
- ในกรณีที่คนไข้มีเนื้อบริเวณคาง/ใต้คางที่ห้อยย้อย การผ่าตัดแบบแผลนอกจะช่วยตกแต่งจัดการกับผิวหนังส่วนเกินบริเวณใต้คางได้ดีกว่า
ข้อควรระวัง ของการเสริมคางแบบแผลนอก
- อาจไม่เหมาะกับคนไข้ที่เคยมีประวัติการเกิดแผลเป็นนูน หรือแผลเป็นแบบคีลอยด์ได้ง่าย ซึ่งการผ่าตัดทำคางแบบแผลนอกอาจก่อให้เกิดแผลเป็นในผิวหนังของคนไข้บางรายได้ ทั้งนี้อาจช่วยได้ด้วยการดูแลรักษาแผลอย่างดี และทาครีมที่มีสรรพคุณป้องกันและลดรอยแผลเป็นอย่างสม่ำเสมอ รอยแผลเป็นที่เกิดขึ้นก็อาจหายเป็นปกติได้ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วอาจต้องใช้ระยะเวลาการรักษาแผลเป็นนานพอสมควรเฉลี่ย 1-3 เดือนโดยประมาณ
- หากตำแหน่งที่จะทำการกรีดแผลมีโรงผิวหนังอยู่ จะไม่สามารถผ่าตัดทำคางแบบแผลนอกได้
- ถ้ามีโรคผิวหนัง ในตำแหน่งที่จะลงแผล จะไม่สามารถทำแผลนอกได้
2. การเสริมคางแบบแผลใน
ผ่าตัดศัลยกรรมเสริมคางด้วยกรรมวิธีการเปิดแผลที่ด้านในของช่องปาก โดยคุณหมอจะทำการเปิดแผลบริเวณตรงซอกเหงือกด้านในกับริมฝีปากด้านล่าง ความยาวของแผล 2-3 เซนติเมตรโดยประมาณ ทั้งนี้แล้วแต่ขนาดของซิลิโคน
จากนั้นจะทำการผ่าแยกเยื่อหุ้มบริเวณขอบล่างของส่วนคางออก แล้วนำแท่งซิลิโคนวางเข้าไปด้านในให้อยู่ในตำแหน่งที่ต้องการอย่างเหมาะสม เสร็จแล้วจึงทำการเย็บปิดแผลเป็นขั้นตอนสุดท้ายด้วยไหมละลาย โดยทั่วไปจะใช้เวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมง
ข้อดีของการเสริมคางแบบแผลใน
- เหมาะสำหรับคนไข้ที่มีโอกาสเป็นแผลเป็นนูนหรือคีลอยด์ง่าย การผ่าตัดเสริมคางแบบแผลในจะไม่ทำให้เกิดแผลเป็นภายนอก ช่วยเพิ่มความมั่นใจว่าไม่หลงเหลือรอยแผลเป็นภายนอกให้ใครรู้ว่าไปทำศัลยกรรมคางมา
- ต้องมีการประเมินในเรื่องการสบฟันและกระดูกขากรรไกรร่วมด้วย จึงนิยมทำกันในแพทย์/ทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
ข้อควรระวัง ของการเสริมคางแบบแผลใน
- ควรระวังตัวในการใช้ชีวิตประจำวัน ไม่ให้คางไปกระแทกจนกระทั่งซิลิโคนเคลื่อน บิดเบี้ยวผิดตำแหน่ง
- ควรระวังในเรื่องการรับประทานอาหาร ไม่ให้เศษอาหารหลงเหลือและตกค้างอยู่ในช่องปาก
- ต้องมีการดูแลทำความสะอาดในช่องปากอย่างเหมาะสมและเพียงพอ เพื่อความความเสี่ยงในเรื่องการติดเชื้อหรือเกิดภาวะแทรกซ้อนขึ้นได้
ซิลิโคนที่ใช้เสริมคางมีกี่ประเภท และมีเกรดไหนบ้าง
ที่ We clinic เรามีกรรมวิธีการเสริมคางที่เป็นจุดเด่นแตกต่างจากที่อื่นคือ คุณหมอจะเลือกใช้ซิลิโคนขายาว ซึ่งเป็นเทคนิคพิเศษเฉพาะของ We clinic เท่านั้น เป็นเทคนิคที่ถูกนำมาใช้เป็นท่านแรก ๆ ของประเทศ ด้วยการนำซิลิโคนขายาวมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมอย่างสวยงาม โดยเหลาปรับให้เข้ากับกรอบหน้าของลูกค้าแต่ละท่าน ทำการวางซิลิโคนครอบบริเวณฐานกระดูกได้อย่างแม่นยำ
จากนั้นจึงเย็บล็อคเพื่อป้องกันไม่ให้ซิลิโคนเกิดการเบี้ยวเอียงผิดตำแหน่ง ช่วยป้องกันไม่ให้คางเป็นก้อน คางไม่ห้อยย้อย รอยต่อน้อย แลดูเรียบเนียนกลืนไปกับผิว นอกจากนี้ขาของซิลิโคนยังรับกับช่วงกรอบหน้า ทำให้กรอบหน้าดูชัดและสวยงามยิ่งขึ้น
การเสริมคางโดยใช้ซิลิโคนแท่ง ถือเป็นกรรมวิธีที่เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในทุกวันนี้ เนื่องจากมีความปลอดภัย ได้มาตรฐาน ซึ่งซิลิโคนที่จะนำมาใช้ในการทำคางต้องเป็น ซิลิโคนทางการแพทย์ (Medical Grade Silicone) เนื่องจากได้มาตรฐานและปลอดภัย โดยทั่วไปแล้วจะมีอยู่ 2 ลักษณะหลัก ๆ อันได้แก่
1. ซิลิโคนขาสั้น
สำหรับเสริมคางได้ทุกรูปแบบ ซึ่งเหมาะกับคนไข้ที่ต้องการเสริมคางโดยเน้นเฉพาะส่วนปลายคางให้ดูยาวขึ้นกว่าเดิม และมีโครงสร้างพื้นฐานคางเดิมที่ค่อนข้างดูดีอยู่แล้ว (คือมีคางอยู่บ้างแล้ว) แต่ต้องการมาทำคางเพื่อปรับใบหน้าให้ได้สัดส่วน มีความสมดุล ดูสวยสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ต้องการให้ใบหน้าดูยาวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่หลอกตา ซึ่งซิลิโคนที่เลือกใช้จะมีลักษณะนิ่มปานกลาง
2. ซิลิโคนขายาว
ซิลิโคนขายาว เหมาะสำหรับคนไข้ที่มีปัญหาคางถอย คางตัด คางยุบ แนวกรามใหญ่ คางเหลี่ยมมากๆ แก้มเยอะ ตัวซิลิโคนจึงมีลักษณะที่สามารถครอบคลุมถึงรอยต่อของแนวกราม และรับกับกรอบหน้า เพื่อเก็บกรอบหน้า เก็บแก้มให้ดูเรียวขึ้น ช่วยให้รูปหน้าได้สัดส่วนยิ่งขึ้น
ลักษณะของซิลิโคนขายาว จะมีขายาวที่วางโค้ง ครอบไปบนบริเวณกระดูกปลายคาง ทั้งนี้เพื่อให้ซิลิโคนถูกจัดวางในองศาเดียวกับกรอบหน้าอย่างพอเหมาะ เพื่อไม่ให้เกิดเป็นรอยต่อขึ้นในบริเวณระหว่างแก้มกับคาง โดยในส่วนขาของซิลิโคนจะเป็นตัวที่ช่วยล็อคตำแหน่งไว้ไม่ให้ห้อยย้อยหรือหล่นลงมาอยู่บริเวณใต้คาง และช่วยครอบล็อคส่วนกระดูกคาง ป้องกันไม่ให้คางเบี้ยวหรือเอียง
ซึ่งนอกเหนือจากเรื่องลักษณะของซิลิโคน ประเภทของซิลิโคน ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะมีส่วนช่วยให้คางดูเข้ากับรูปหน้าของคนไข้ได้มากขึ้นอีกด้วย การเลือกประเภทซิลิโคนที่เหมาะสมจะส่งผลให้รูปหน้าดูสมดุล ได้สัดส่วนอันดีงาม ดูเรียวสวย มีมิติ เรียกว่าสวยอย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งซิลิโคนที่ใช้ในการเสริมคาง มี 2 ประเภท ได้แก่
1. ซิลิโคนเกาหลี (Korean Silicone)
ซิลิโคนเกรดเกาหลีมีข้อดีคือ มีความนุ่มเมื่อเสริมออกมาแล้วจะแลดูเป็นธรรมชาติ ไม่หลอกตา การทำคางด้วยซิลิโคนเกาหลีจะได้คางที่ได้รูปสวย ดูพุ่ง งอนมาทางด้านหน้า ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับปริมาณเนื้อคางเดิมของคนไข้แต่ละท่านด้วย
2. ซิลิโคน USA
ซิลิโคนอเมริกามีข้อดีต่อการทำคางคือ นอกจากจะไม่นิ่มมากแล้ว ยังมีความน่าเชื่อถือสูงเนื่องจากเป็นซิลิโคนที่ได้มาตรฐานเป็นพิเศษ และเป็นเกรดทางการแพทย์ (medical grade silicone) มีค่าความบริสุทธิ์ของเนื้อซิลิโคนสูงมาก ในวงการศัลยกรรมตกแต่งเสริมความงามต่างให้การยอมรับ ที่จะใช้ในการเสริมคางให้ได้ทรงที่เป็นธรรมชาติ เนื่องจากง่ายในการเหลาขึ้นรูป ปลอดภัยต่อร่างกาย มีความยืดหยุ่น และเข้ากับโครงหน้าของคนไข้แต่ละท่าน
เสริมคาง เหมาะกับใคร รูปหน้าแบบไหนที่ควรทำคาง ?
การเสริมคางนั้น ทำได้ทั้งในผู้ชายและผู้หญิง เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาคางซึ่งมีผลต่อโครงหน้า คือ มีคางสั้น คางถอย คาดเหลี่ยม คางตัด คางยุบ ช่วยปรับแก้ปัญหาคางให้ได้รูป ดูสวยรับกับใบหน้ามากยิ่งขึ้น ปรับรูปหน้าให้ยาวขึ้น ให้ใบหน้าดูกลมน้อยลง และดูเรียวงามยิ่งขึ้น
แม้ในคนที่มีโครงหน้าค่อนข้างดีอยู่แล้ว แต่การเสริมคางยังสามารถช่วยปรับรูปหน้าให้ดูมีมิติมากยิ่งขึ้น เพิ่มสเน่ห์ให้แก่ใบหน้า ปรับรูปหน้าให้เป็นวีเชพ (V-Shape) ดังนั้นจึงถือได้ว่าการเสริมคางเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในการส่งเสริมและปรับบุคลิกภาพให้ดีขึ้นอีกทางหนึ่งได้อีกด้วย
การเสริมคางผู้ชายจะมีลักษณะที่ต่างจากการเสริมคางผู้หญิง เนื่องจากการเสริมคางผู้หญิงนิยมทำให้ใบหน้าดูยาวขึ้น เพื่อให้ได้รูปวีเชพ ให้หน้าหวานดูละมุน แต่การเสริมคางผู้ชายจะนิยมทำคางให้ดูแมน โดยทำให้ป้านขึ้น ดูเหลี่ยมมากขึ้น โดยไม่นิยมทำให้แหลมเกินไปเพราะจะทำให้หน้าดูหวานจนเกินไป
การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการผ่าตัดเสริมคาง
คำถามที่มักเกิดขึ้นกับผู้ที่อยากจะทำคางก็คือ ควรเลือกทำคางที่ไหนดี ดังนั้น เมื่อศึกษาข้อมูลรายละเอียดอย่างเพียงพอจนสามารถตัดสินใจได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปที่ควรรู้ก็คือ สิ่งที่ต้องเตรียมตัวก่อนเข้ารับการผ่าตัดเสริมคาง อันมีดังต่อไปนี้
- ควรเข้ารับคำแนะนำจากแพทย์ที่จะทำศัลยกรรมให้ โดยแจ้งข้อมูลทางด้านสุขภาพให้แพทย์ทราบโดยละเอียด เช่น โรคประจำตัว และประวัติการแพ้ยาที่ผ่านมาในอดีต
- ควรปรึกษากับแพทย์ก่อนเข้ารับการผ่าตัดเสริมคาง โดยเตรียมรูปตัวอย่างทรงคางที่ชื่นชอบและอยากได้ เพื่อประเมินรูปทรงคางว่าสามารถทำได้หรือไม่ ทำแล้วจะสวยงามเหมาะกับรูปหน้าหรือไม่
- ควรงบสูบบุหรี่ และงดเว้นการดื่มแอลกอฮอล์ก่อนเข้ารับการผ่าตัดเสริมคาง อย่างน้อย 1 สัปดาห์
- งดรับประทานวิตามิน อาหารเสริม ยกตัวอย่างเช่น น้ำมันตับปลา และยาตระกูลแอสไพริน ก่อนเข้ารับการผ่าตัดทำคาง อย่างน้อย 1 สัปดาห์
- ควรอาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน บ้วนปาก เพื่อทำความสะอาดร่างกายให้เรียบร้อย ก่อนเข้ารับการผ่าตัด
- ไม่จำเป็นต้องงดน้ำ งดอาหาร โดยควรรับประทานอาหารให้พออิ่ม ก่อนเข้าห้องผ่าตัด
- ควรสวมใส่เสื้อผ้าที่เป็นแบบผ่าหน้าติดกระดุม เพื่อความสะดวกต่อการสวมใส่หลังจากการผ่าตัด และไม่ควรสวมเสื้อผ้าที่มีโลหะนำไฟฟ้าเป็นส่วนประกอบหรือตกแต่ง
การดูแลตัวเองหลังการผ่าตัดเสริมคาง
ผู้ที่ศึกษาข้อมูลเรื่องการทำคางอาจจะอ่านเจอมาบ้างว่า หลังผ่าตัดมักจะมีเรื่องอาการบวม ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติที่ต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว แต่ที่ We clinic เรามีเทคนิคพิเศษ ที่ช่วยให้หลังผ่าตัดทำคางมีอาการบวมช้ำที่น้อยมาก ๆ ทั้งนี้การดูแลตัวเองหลังทำคาง ควรปฏิบัติตัวดังต่อไปนี้
- หลังจากเข้ารับการผ่าตัดทำคาง 1-3 วันแรก อาจมีอาการบวมช้ำ สามารถใช้การประคบเย็นเพื่อช่วยลดอาการบวมให้ดีขึ้นได้ แล้วจึงเปลี่ยนมาเป็นประคบอุ่นในวันที่ 4 เป็นต้นไป จนกว่าอาการบวมช้ำจะดีขึ้น
- หลังการผ่าตัดเสริมคาง ควรนอนโดยยกศีรษะสูงเป็นเวลาอย่างน้อย 1 สัปดาห์ เพื่อช่วยลดอาการบวมให้ทุเลาลงเร็วขึ้น และไม่ควรนอนตะแคง เพราะจะทำให้คางที่เพิ่งเสริมไปเกิดอาการเสียรูปทรงได้
- ควรงดรับประทานอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ อาหารแสลง อาหารเผ็ด อาหารร้อน เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และงดสูบบุหรี่ อย่างน้อย 1 เดือน
- หลังรับประทานอาหารควรบ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปากหรือน้ำสะอาดทุกครั้ง เพื่อขจัดเศษอาหารในช่องปาก ป้องกันไม่ให้เศษอาหารไปติดที่ไหมเย็บแผล
- ควรงดการออกกำลังกาย เป็นเวลาอย่างน้อย 1 เดือน
- ควรรับประทานยา ที่แพทย์จ่ายให้อย่างครบถ้วน
- หากมีอาการผิดปกติ เช่น รู้สึกปวดบริเวณแผลผ่าตัดมากกว่าปกติ หรือมีข้อสงสัยต่าง ๆ ควรไปปรึกษาแพทย์ทันที ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้หรือแก้ไขปัญหาด้วยตัวเองซึ่งอาจผิดพลาดได้
แนวทางการรับประทานอาหาร หลังผ่าตัดเสริมคาง
หลักจากได้รับการผ่าตัดศัลยกรรมเสริมคาง ควรรับประทานอาหารอ่อน ๆ ที่ไม่ต้องใช้แรงเคี้ยวมาก ไม่รับประทานอาหารร้อนจัด ควรทานอาหารรสชาติอ่อน ๆ ควรงดอาหารเผ็ดและเค็มในช่วงระยะเวลาหลังการผ่าตัด 1 เดือนแรก และควรงดอาหารทะเล อาหารแสลง อาหารสุก ๆ ดิบ ๆ เพราะเสี่ยงต่ออาการแผลหายยากและบวมช้ำนานกว่าปกติ
คลิปรีวิวทำคาง
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการเสริมคาง
Q : เสริมคางเจ็บไหม ?
A : การเสริมคาง ถือเป็นการผ่าตัดศัลยกรรมขนาดเล็ก แผลมีขนาดเล็ก หลังผ่าตัดเสร็จสามารถเดินทางกลับไปพักฟื้นร่างกายที่บ้านได้ โดยไม่ต้องพักฟื้นที่คลินิก มีการฉีดยาชาร่วมกับการผ่าตัด ซึ่งจะมีความรู้สึกเจ็บในขณะที่ทำการฉีดยาชานั้น เมื่อยาชาออกฤทธิ์แล้ว คนไข้จะไม่มีความรู้สึกเจ็บในระหว่างทำการผ่าตัดจนถึงผ่าตัดเสร็จ เมื่ออาจมีความรู้สึกตึง ๆ หรือเจ็บเล็กน้อยหลังจากยาชาหมดฤทธิ์ ซึ่งแพทย์จะแนะนำให้รับประทานยาแก้ปวดได้ และสามารถใช้การประคบเย็น เพื่อช่วยลดอาหารปวดและเพื่อให้บวมลดน้อยลง
Q : การเสริมคางจะมีแผลเป็นหรือไม่
A: การเกิดแผลเป็นหลังการผ่าตัดเป็นกรณีแล้วแต่บุคคล คนไข้บางรายอาจมีสภาพผิวที่เกิดแผลเป็นนูนหรือคีลอยด์ได้ง่ายกว่าคนทั่วไป ซึ่งจำเป็นต้องมีการดูแลหลังผ่าตัดอย่างเคร่งครัด ควรหมั่นทายาป้องกันและบรรเทาการเกิดแผลเป็นอย่างสม่ำเสมอทุกเช้า – เย็น แต่โดยกรณีทั่วไปแล้วโอกาสจะเกิดแผลเป็นมีน้อยมาก ๆ เพราะการเสริมคางทำให้เกิดแผลขนาดเล็ก และรอยแผลจะค่อย ๆ จางลงภายในระยะเวลา 1-3 เดือน
Q : การเสริมคางต้องใช้เวลาพักฟื้นนานแค่ไหน?
A: โดยเฉลี่ยแล้วการผ่าตัดทำคางจะใช้เวลาพักฟื้นประมาณ 7 วัน โดยระหว่างนี้สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ สามารถเดินทางไปทำงานได้ โดยไม่ค่อยส่งผลกระทบต่อกิจวัตรประจำวัน ซึ่งหลังจากผ่าตัด 7 วัน แพทย์จะนัดให้เข้ามาเช็คแผล หรือตัดไหม และใช้เวลาประมาณ 1-3 เดือน ทรงคางจึงจะเข้าที่ สวยงามเข้ากับรูปหน้า
Q : การทำคางมีผลข้างเคียง มีอันตรายหรือไม่?
A: การเสริมคางแม้จะเป็นการผ่าตัดเล็ก แต่ขึ้นชื่อว่าการทำศัลยกรรมย่อมต้องศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อน เพราะไม่ใช่ว่าจะทำการเสริมคางที่ไหนก็ได้ การพิจารณาเลือกสถานที่ คลินิกเสริมคาง เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก และควรพิจารณาไปถึงคุณหมอที่จะทำการผ่าตัดให้ด้วย ว่าต้องเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์สูงในด้านการเสริมคาง เครื่องมือที่ใช้ผ่าตัดมีความทันสมัย ผ่านกระบวนการฆ่าเชื่อทุกชิ้น มีความปลอดภัย และได้มาตรฐาน หากเลือกคลินิกทำคางได้ตามองค์ประกอบเหล่านี้แล้วก็มั่นใจได้ว่าจะเข้ารับการผ่าตัดได้อย่างปลอดภัย ไม่มีผลข้างเคียงหรืออันตรายใดๆ ตามมา
คำถามยอดฮิต ที่ผู้คนมักจะสงสัยเกี่ยวกับการทำคางก็คือ เสริมคางเชียงใหม่ มีคลินิกที่ไหนดีบ้าง เสริมคางที่ไหนสวย ทำคางที่ไหนดี ดังนั้น ก่อนจะตัดสินใจทำศัลยกรรมทุกครั้ง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการค้นคว้า ศึกษาหาข้อมูลให้ละเอียดที่สุด เช็คชื่อเสียงของคลินิก เช็คทีมแพทย์ผ่าตัด เช็ควัสดุซิลิโคนที่ใช้เสริม เช็คสถานบริการ พิจารณาแพทย์ที่มีความน่าเชื่อถือ สามารถขอดูผลงาน รีวิวเสริมคางของคุณหมอ ก่อนที่จะตัดสินใจทำคาง และสอบถามถึงกระบวนการติดตามและดูแลคนไข้ทั้งก่อนและหลังเข้ารับการผ่าตัดทำคาง ทั้งหมดนี้จะช่วยให้ตัดสินใจเลือกคลินิกเสริมคางที่ดีที่สุดได้ง่ายขึ้น
สุดท้ายนี้ หากคุณมีแพลนที่อยากจะเสริมคางในอนาคต และกำลังมองหาว่าจะทำคางที่ไหนดี เราขอเสนอว่าคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับคุณคือ We clinic