ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการฉีดฟิลเลอร์ในปัจจุบัน มาพร้อมนวัตกรรมอันทันสมัยที่สามารถเนรมิตความงามบนใบหน้าสาวๆ ให้กลับมาสวยอ่อนเยาว์ และเต่งตึงอีกครั้งได้ง่ายภายในเวลารวดเร็ว แต่ประเด็นที่หลายคนสงสัยเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ ส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นคำถามที่ว่า ก่อนและหลังฉีดฟิลเลอร์จะต้องเตรียมตัวอย่างไร เพื่อให้ผลลัพธ์ของการฉีดฟิลเลอร์เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด วันนี้เราจะมาไขข้อสงสัยนั้นกันว่าคุณควรดูแลตัวเองอย่างไรทั้งก่อนและหลังจากฉีดฟิลเลอร์ รวมไปถึงยาหรืออาหารที่ควรงดกินในช่วงก่อนและหลังการฉีดนั้นมีอะไรบ้าง
ก่อนและหลังจากฉีดฟิลเลอร์ อะไรบ้างที่ไม่ควรกิน?
เพื่อให้การฉีดฟิลเลอร์มาพร้อมสภาพผิวหน้าที่สวยเนียนใสไร้ร่องรอยบอบช้ำ สาวๆ ที่เข้ารับการฉีดจึงควรงดเว้นอาหาร ยาหรือสิ่งต้องห้ามทั้งก่อนและหลัง ดังนี้
ก่อนเข้ารับการฉีดฟิลเลอร์ 1 สัปดาห์
1.ยาจำพวกแอสไพริน, ยา NSAIDs ซึ่งเป็นยาในกลุ่มลดอาการปวด ลดอาการอักเสบ และลดไข้ เช่น Ibuprofen, Ponstan, Diclofenac ชนิดฉีด เพราะเมื่อใช้แล้ว จะทำให้เกิดอาการบวมหรือช้ำในตำแหน่งที่ทำการฉีดฟิลเลอร์ได้
2.อาหารเสริมและวิตามินบางชนิด เช่น วิตามินอี, แปะก๊วย, น้ำมันปลา, Primrose Oil เพราะจะทำให้แผลมีอาการช้ำและเลือดหยุดไหลช้า
3.ยาทาประเภทผลัดเซลล์ผิวชนิดต่างๆ เช่น Retin, Glycolic Acid, Retinoids รวมไปถึงครีมในกลุ่มต้านและลดริ้วรอย (Anti-Aging) ทุกประเภท
ก่อนและหลังจากฉีดฟิลเลอร์ภายใน 24 ชั่วโมง
เครื่องดื่มต้องห้ามที่ควรหลีกเลี่ยงทั้งก่อนและหลังจากฉีดฟิลเลอร์ภายใน 24 ชั่วโมงคือ เครื่องดื่มแอกอฮอล์ทุกชนิด เพราะแอลกอฮอล์จะทำให้หัวใจสูบฉีดเลือดมากขึ้น เกิดภาวะหลอดเลือดขยายตัว จนเป็นสาเหตุที่ทำให้หน้าแดงบวม หรือเกิดอาการอักเสบได้ง่าย
หลังจากฉีดฟิลเลอร์ 14 วัน
เพื่อให้ประสิทธิภาพของฟิลเลอร์ทำงานได้อย่างเต็มที่ หลังจากฉีดฟิลเลอร์มาแล้ว ภายในระยะเวลา 14 วัน ควรงดเว้นอาหารต้องห้าม ดังนี้
1.เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด เช่น เหล้า เบียร์ วิสกี้ วอดก้า
2.อาหารประเภทปิ้งย่าง เพราะอาหารชนิดนี้จะทำให้ผิวหน้าของคุณอยู่ใกล้ความร้อนมากขึ้น ทำให้เกิดผลข้างเคียงได้
3.อาหารที่มีรสจัดหรือเผ็ดมากเกินไป เพราะจะทำให้ผิวหน้าเกิดอาการบวมแดงจากภาวะหลอดเลือดสูบฉีดที่มากกว่าเดิม
4.อาหารที่มีรสหวานมากเกินไป เพราะจะไปกระตุ้นการอักเสบบนผิวหน้าได้ง่าย
5.อาหารประเภทหมักดอง เพราะอาหารหมักดองทุกชนิด ล้วนมีส่วนทำให้เส้นเลือดขยายได้มากขึ้น
6.บุหรี่ หลังจากฉีดฟิลเลอร์ ควรงดสูบบุหรี่ เพราะสารนิโคตินจะกระตุ้นให้เกิดการขยายหลอดเลือด ทำให้อาการบวมในบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์หายช้าลง
อาการที่พบหลังฉีดฟิลเลอร์ และวิธีรับมืออย่างเหมาะสม
เนื่องจากการฉีดฟิลเลอร์ คือการนำเอาสารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid เข้าสู่ชั้นเซลล์ผิว ทำให้ผิวหน้าที่มีร่องลึก ร่องตื้น หรือริ้วรอยต่างๆ ดูตื้นขึ้น ผิวหน้าจะเด้งเต่งตึง และเรียบเนียนสม่ำเสมอ อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างชั้นผิวให้มีความยืดหยุ่น ซึ่งผลข้างเคียงหลังจากการฉีดนั้นในลูกค้าบางราย ก็อาจจะมีอาการที่แตกต่างกันไป โดยอาการที่อาจพบได้ก็มีดังนี้
1.อาการบวมเล็กน้อย หรือมีจุดแดงเล็กๆ
เป็นอาการที่มักจะพบได้บ่อยในผู้ที่ฉีดฟิลเลอร์ โดยผิวหน้าจะมีอาการบวมแดง หรือเกิดจุดแดงเล็กๆ อันเนื่องมาจากการใช้เข็มจิ้มลงบนผิว ซึ่งอาการดังกล่าวจะกลับมาเป็นปกติหลังจากการฉีดไปแล้วเป็นเวลา 3-5 วัน ในระหว่างนี้สาวๆ สามารถใช้รองพื้น หรือครีมกันแดดแต่งแต้มลงไปบนผิวหน้าเพื่อช่วยปกปิดรอยแดงหรือรอยบวมได้เลย
2.อาการบวมแดงที่มากขึ้น ไม่หายไปภายใน 3-5 วัน
หากพบว่าอาการบวมแดงหลังจากการฉีดฟิลเลอร์ ไม่ดีขึ้นภายใน 3-5 วัน หรือมีแนวโน้มที่แย่ลง ให้รีบปรึกษาแพทย์ที่ทำการฉีดที่คลินิกนั้นๆ โดยในระหว่างนี้ผู้ที่รับการฉีดฟิลเลอร์ ไม่ควรใช้ความร้อนประคบ เพราะอาจทำให้ฟิลเลอร์เกิดการละลายได้
ข้อควรรู้ก่อนเข้ารับการฉีดฟิลเลอร์
สำหรับผู้ที่ต้องการเข้ารับการฉีดฟิลเลอร์ เพื่อแต่งเติมความงามให้แก่ใบหน้า ควรพิจารณาความพร้อมของตนเองเป็นสำคัญ ดังนี้
1.ไม่มีประวัติแพ้สารฟิลเลอร์รุนแรง
2.ไม่อยู่ในระหว่างการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
3.ไม่มีประวัติแพ้ยาชา
4.ไม่มีประวัติเป็นโรคเริมที่ปาก สำหรับผู้ที่ต้องการฉีดฟิลเลอร์บริเวณปาก
การฉีดฟิลเลอร์เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดนั้น จำเป็นต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและชำนาญการในการฉีด เพราะจะทำให้คุณได้รับคำแนะนำในการดูแลตัวเองทั้งก่อนและหลังการฉีดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะทำให้การฉีดฟิลเลอร์นั้นเป็นไปได้ด้วยดี และออกมามีผลลัพธ์ตรงใจคุณมากที่สุดนั่นเอง